ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกของเรา คุณอาจพบเรื่องรอบตัวที่คุณยังไม่รู้ได้ที่นี่

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559

รู้หรือไม่?

10เรื่องน่ารู้ประวัติศาสตร์ไทย


1.รู้หรือไม่ในสมัยสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช




2.รู้หรือไม่ผู้ที่สร้างเมืองอยุธยาเป็นเมืองหลวงคือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือ "พระเจ้าอู่ทอง" พ.ศ. 1893


3.รู้หรือไม่ไทยกับพม่า มีการทำสงครามครั้งแรกเนื่องจากพม่ามาตีเมืองเชียงกรานของไทย พ.ศ.2081


4.รู้หรือไม่พระองค์ดำ คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ขาว คือ สมเด็จพระเอกาทศรถราชอนุชา เป็นพระราชโอรสของพระมหาธรรมราชาทั้งสองพระองค์



5.รู้หรือไม่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชไปอยู่เมืองพม่าตั้งแต่อายุ 9 ปี ถึง 16 ปี รวมเวลาอยู่ในพม่า 7 ปี


6.รู้หรือไม่ไทยเป็นเมืองขึ้นพม่าครั้งแรก 15 ปี


7.รู้หรือไม่.พระยาตากเดิมชื่อ "สิน" เป็นลูกของนายไหฮอง ตำแหน่งนายอากรบ่อนเบี้ยและนางนกเอี้ยง



8.รู้หรือไม่ฝรั่งชาติแรกที่เข้ามาสู่ไทยคือโปรตุเกสเข้ามาในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยา




9.รู้หรือไม่สงครามยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระนเรศวรกับพระมหาอุปราชเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2135



10.รู้หรือไม่งานชิ้นสำคัญของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชคือ การประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้เป็นครั้งแรก ใน พ.ศ. 1826




เอกลักษณ์ไทยในชาติพิลาสล้น
มิ่งมณฑลเบิกฟ้ามาบายศรี
แพรวพิสุทธิ์ผุดประกายพรายความดี
ปิ่นโมฬีคลี่ขจรกระฉ่อนไกล

เราฟุ้งเฟื่องลือเลื่องเป็นเมืองยิ้ม
ประดับถิ่นวิจิตรหล้ากว่าเมืองไหน
พิมพ์ประทับทั่วแคว้นแผ่นดินไทย
อิ่มเอมใจหวงแหนนามแผ่นดิน

ประเพณีดีงามตามศาสนา
ชะลอฟ้าชะลอธรรมประจำถิ่น
เป็นหลักชัยใสสว่างทางชีวิน
แว่วมนตร์รินละล่องประคองธรรม

งามพระปรางค์ช่างประเสริฐบรรเจิดจ้า
ทาบทอมาบรรจบยามพลบค่ำ
คลอเคียงฝันอบอุ่นกรุ่นประจำ
ไทยชื่นฉ่ำร่ำคะนึงถึงปรางค์องค์

โอ้ปราสาทราชวังตั้งสง่า
กษัตราอ่าตระการวิมานหงส์
อัญเชิญทิพย์เมืองทองประคองลง
จากสวรรค์สูงส่งลงด้าวแดน

เอกลักษณ์เอกราชประกาศศักดิ์
ยาวนานนักยิ่งประจักษ์อย่างหนักแน่น
จักสืบทอดต่อไปไม่คลอนแคลน
เกิดทดแทนตลอดใจไทยทุกดวง

ขอบคุณกลอนเพราะๆจากhttp://www.klonthaiclub.com/index.php?topic=24938.0




รู้หรือไม่?
10สถานที่ มรดกโลกโดยยูเนสโก้ ที่สวยที่สุดในโลก

1. นครวัด (Angkor) ประเทศกัมพูชา 
นครวัด เป็นศาสนสถานสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 เป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญเพียงแห่งเดียวที่ยังเหลือรอดมาจนถึงปัจจุบัน และได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชาที่หลายคนทั่วโลกต่างรู้จักเป็นอย่างดี
นครวัดยังเป็น 1 ใน 10 อันดับ สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตในอาเซียน อีกด้วย ซึ่งที่นี่อยู่ห่างจากเมืองเสียมราฐเพียง 20 นาทีเท่านั้น นักท่องเที่ยวจะแห่กันไปเพื่อชมสถาปัตยกรรมขอมโบราณนี้ในช่วงเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ เพราะเป็นช่วงที่มีอากาศดี อุณหภูมิจะอยู่ที่ 25-30 องศาเท่านั้น จะช่วงอื่นจะร้อนมากจนแทบตัวละลาย



2. อะโครโพลิส (Acropolis) ประเทศกรีซ
อะโครโพลิส คือ ป้อมปราการที่อยู่บนเทือกเขาสูง ซึ่งมีอยู่หลายจุดในประเทศกรีซ อะโครโพลิสที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ อะโครโพลิสแห่งเอเธนส์ ซึ่งมีวิหารสามแห่ง คือ วิหารพาร์เทนอน (Parthenon) วิหารอิเรกเทียม (Erechtheum) และมีโรงละครอีกสองแห่งคือ โรงละครเฮโรเดส อัตติกัส (Theatre of Atticus) และโรงละครไดอะไนซัส (Theatre of Dionysus)
ที่นี่ถือไ้ด้ว่า เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญของโลกเลยก็ว่าได้ เป็น อารยธรรมโบราณ ซึ่งสถานที่ที่ยังมีสิ่งก่อสร้างซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรือง และความรู้ความสามารถของคนในยุคก่อน ความท้าทายในการเที่ยวชมที่นี่เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวหลายคนถวิลหา เพราะจะต้องเลาะไปตามทางเดินที่อยู่ตรงแนวเนินเขาที่ทั้งสูง และชัน 




3. พุกาม (Bagan) ประเทศเมียนมาร์


พุกาม เป็นอาณาจักรแห่งแรกในประวัติศาสตร์เมียนมาร์ ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตมัณฑะเลย์ เป็นเมืองเก่าแก่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 11 ที่ยังคงความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธศาสนาจนได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งทะเลเจดีย์ หรือ ดินแดนแห่งเจดีย์สี่พันองค์ เพราะในสมัยรุ่งเรืองเคยมีเจดีย์มากมายถึง 4,446 องค์ ปัจจุบันเหลือแค่เพียง 2,217 องค์เท่านั้น แต่ก็ยังถือว่าเป็นศาสนสถานที่อลังการอยู่ดี
เจดีย์แห่งแรกของพุกามคือ เจดีย์ชเวสิกอง สร้างโดยพระเจ้าอโนรธามังช่อ ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรพุกาม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในประเทศเมียนมาร์ นอกจากนี้พุกาม ยังเป็น 1 ใน 100 สถานที่สวยที่สุดในโลก อีกด้วย



4. ฮัมปิ (Hampi) ประเทศอินเดีย


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อพูดถึงอินเดีย ใครๆ จะต้องนึกถึง ทัชมาฮาล ที่มีชื่อเสียงที่สุดมรดกโลก แต่นักท่องเที่ยวไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้จัก ฮัมปิ เมืองที่เคยเป็นอาณาเขตของอาณาจักรวิจายานะกา หรือ วิชัยนคร และยังเป็นเมืองหลวงสุดท้ายของอาณาจักรฮินดู แน่นอนว่าที่นี่เต็มไปด้วยวัด และพระราชวังวังที่สร้างด้วยศิลปะแบบดราวิเดียน



5. น้ำตกอีกวาซู (Iguazu National Park) ประเทศบราซิล และอาร์เจนติ


น้ำตกอีกวาซู นี้ตั้งอยู่บริเวณรอยต่อพรมแดนระหว่างประเทศบราซิลกับประเทศอาร์เจนติน่า เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ และขึ้นชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย โดยใหญ่กว่าน้ำตกไนแอการาประมาณ 30 เท่า เป็นน้ำตกขนาดใหญ่เป็นแนวยาวกว่า 4 กิโลเมตร สูงกว่า 269 ฟุต ประกอบด้วยน้ำตกน้อยใหญ่อีก 275 แห่งด้วยกัน ซึ่ง บริเวณรอบๆ น้ำตกนั้นจะเกิดละอองน้ำอยู่ตลอดเวลาและมีเสียงดังไปไกลกว่า 24 กิโลเมตร
รายละเอียดเพิ่มเติม อีกวาซู น้ำตกสุดยิ่งใหญ่อลังการ ในอาร์เจนตินา ใหญ่กว่าน้ำตกไนแองการา 30 เท่า! 


6. อุทยานแห่งชาติลอส กลาเซียเรส (Los Glaciares National Park) ประเทศอาร์เจนติ

อุทยานแห่งชาติลอส กลาเซียเรส เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองซานตาครูซ เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในประเทศอาร์เจนตินา พื้นที่ส่วนใหญ่มักถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งกว่า 30% ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกยุคน้ำแข็งเลยทีเดียว กิจกรรมท่องเที่ยวหลักๆ ที่ได้รับความนิยมของนักท่องเที่ยวนั้นคือ  การปีนเขา และเดินป่าภูเขาฟิทซ์รอย (Monte Fitz Roy) และภูเขาเซอโร ตอร์เร (Cerro Torre) ขาแอดเวนเจอร์แห่ไปพิชิตยอดเขากันมากมาย


7. มาชูปิกชู (Machu Picchu) ประเทศเปรู

มาชูปิกชู หรือนิยมเรียกอีกชื่อว่า เมืองสาบสูญแห่งอินคา ที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงถึง 2,350 เมตรในประเทศเปรู เมืองนี้ตั้งอยู่บนยอดเขาซึ่งแต่ละด้านเป็นผาชันแลดูน่าหวาดเสียว ที่นี่เป็นมรดกที่แสดงให้เห็นถึงอารยะธรรมของชนชาติอินคาที่สาบสูญไปนานแล้ว และไม่มีใครค้นพบจนกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 20 หลังจากจักรวรรดินี้ล่มสลายไปแล้วถึง 400 ปี ที่นี่จึงกลายเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่
ปัจจุบันนักท่องเที่ยวในเปรูสามารถเดินทางจากเมืองคุซโกไปยังนครมาชู ปิกชูโดยทางรถไฟ และรถโดยสารประจำทางเป็นระยะทาง 96 กม.ได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น




8. มง-แซ็ง-มีแชล (Mont Saint Michel) ประเทศฝรั่งเศส

วิหารแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะโดดเดี่ยวกลางทะเลชายฝั่งตะวันตก บริเวณ แคว้นบัส-นอร์ม็องดี ของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งสถานที่ตั้งของโบสถ์นับได้ว่าตั้งอยู่ในสถานที่แปลกประหลาดตื่นตาน่าดูที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ เพราะตั้งอยู่บนเกาะหินเล็กๆ กลางทะเล อีกทั้งยังมีตัวโบสถ์ที่สร้างแบบศิลปะแบบโกธิกที่เด่นมากคือ ตึกลาแมร์เวย หรือ ยอดมหัศจรรย์ ส่วนรอบๆ มีหมู่บ้านติดต่อกันไปตามแนวกำแพง ป้องกันข้าศึกที่จะมาจากทางบก และทางทะเล 






9. มหาพีระมิดแห่งกีซา (Pyramids of Giza) ประเทศอียิปต์

มหาพีระมิดแห่งกีซา เป็นพีระมิดในประเทศอียิปต์ที่มีความใหญ่โต และเก่าแก่ที่สุดในหมู่พีระมิดของอียิปต์ เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในสมัย ฟาโรห์คูฟู (Khufu) แห่งราชวงศ์ที่ 4 ซึ่งปกครองอียิปต์โบราณ เมื่อประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล หรือกว่า 4,600 ปีมาแล้ว
หมู่พีระมิดแห่งกิซ่า ประกอบด้วย พีระมิดคูฟู, พีระมิดคาเฟร และ พีระมิดเมนคูเร พีระมิดทั้งสามสร้างเรียงต่อกันเป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร ทางทิศตะวันตกของกรุงไคโร ที่นี่จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกอยากจะมาสัมผัสสักครั้งหนึ่งในชีวิต




10. อุทยานแห่งชาติเซเรนเกติ  (Serengeti National Park) ประเทศแทนซาเนีย

อุทยานแห่งชาติเซเราเกติ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศแทนซาเนีย ถือเป็นหนึ่งในมรดกโลก เพราะชุกชุมไปด้วยสัตว์สารพัดชนิด
นอกจากนั้นยังเป็นท้องทุ่งแห่งสรรพสัตว์แอฟริกาตะวันออก ที่ราบที่กว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา อาณาเขตอีกปลายด้านหนึ่งมีอาณาเขตจรดติดกับเขต มาไซ มาราในเคนย่า และในที่ราบเซเรนเกตินี้มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอาศัยอยู่กว่า 3 ล้านตัวนับตั้งแต่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีกว่า 415 ประเภทจากหนูแคระตัวจิ๋วไปจนถึงช้างแอฟริกา ที่เป็นสัตว์บกใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นแหล่งตะลุยซาฟารีกันทีเดียว

ขอบคุณข้อมูลจากhttp://travel.truelife.com/detail/41444


ของไทยเราก็มีนะครับ









วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

รู้หรือไม่?
มนุษย์เราเกิดขึ้นได้อย่างไร?


วิวัฒนาการของมนุษย์ (อังกฤษ: Human evolution) เป็นกระบวนการวิวัฒนาการที่นำไปสู่การปรากฏขึ้นของ "มนุษย์ปัจจุบัน" (อังกฤษ: modern human มีนามตามอนุกรมวิธานว่า Homo sapiens หรือ Homo sapiens sapiens) ซึ่งแม้ว่าจริง ๆ แล้วจะเริ่มต้นตั้งแต่บรรพบุรุษแรกของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด แต่บทความนี้ครอบคลุมเพียงแค่ประวัติวิวัฒนาการของสัตว์อันดับวานร (primate) โดยเฉพาะของสกุล โฮโม (Homo) และการปรากฏขึ้นของมนุษย์สปีชีส์ Homo sapiens ที่จัดเป็นสัตว์วงศ์ลิงใหญ่เท่านั้น การศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการมนุษย์นั้นต้องอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์หลายสาขา รวมทั้งมานุษยวิทยาเชิงกายภาพ (หรือ มานุษยวิทยาเชิงชีวภาพ), วานรวิทยา, โบราณคดี, บรรพชีวินวิทยา, พฤติกรรมวิทยา, ภาษาศาสตร์, จิตวิทยาเชิงวิวัฒนาการ (evolutionary psychology), คัพภวิทยา และพันธุศาสตร์
กระบวนการวิวัฒนาการเป็นความเปลี่ยนแปลงของลักษณะสืบสายพันธุ์ (trait) ของกลุ่มสิ่งมีชีวิตผ่านหลายชั่วยุคชีวิต เป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดความหลายหลากกับสิ่งมีชีวิตในทุกระดับชั้น รวมทั้งระดับสปีชีส์ ระดับสิ่งมีชีวิตแต่ละชีวิต และแม้กระทั่งโครงสร้างระดับโมเลกุลเช่นดีเอ็นเอและโปรตีน  สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกสืบสายมาจากบรรพบุรุษเดียวกันที่มีชีวิตประมาณ 3.8 พันล้านปีก่อน การเกิดสปีชีส์ใหม่ ๆ และการแยกสายพันธุ์ออกจากกันของสิ่งมีชีวิต สามารถอนุมานได้จากลักษณะสืบสายพันธุ์ทางสัณฐานและทางเคมีชีวภาพ หรือโดยลำดับดีเอ็นเอที่มีร่วมกัน   คือ ลักษณะสืบสายพันธุ์และลำดับดีเอ็นเอที่มีกำเนิดเดียวกัน จะมีความคล้ายคลึงกันระหว่างสปีชีส์ที่มีบรรพบุรุษร่วมกันเร็ว ๆ นี้มากกว่าระหว่างสปีชีส์ที่มีบรรพบุรุษร่วมกันมานานแล้ว ดังนั้นความคล้ายคลึงกันและความแตกต่างกันจึงสามารถใช้สร้างแบบของต้นไม้สายพันธุ์สิ่งมีชีวิต ที่แสดงความสัมพันธ์เชิงญาติ โดยใช้สิ่งมีชีวิตที่ยังมีอยู่หรือใช้ซากดึกดำบรรพ์เป็นหลักฐานข้อมูล รูปแบบความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในโลกเปลี่ยนแปลงไปเพราะการเกิดขึ้นของสปีชีส์ใหม่ ๆ และการสูญพันธุ์ไปของสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่
ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่: วิวัฒนาการ
งานวิจัยต่าง ๆ ทางพันธุศาสตร์แสดงว่า สัตว์อันดับวานรรวมทั้งมนุษย์แยกออกจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทอื่น ๆ เมื่อประมาณ 85 ล้านปีก่อน โดยมีซากดึกดำบรรพ์ปรากฏเป็นครั้งแรกสุดเมื่อประมาณ 55 ล้านปีก่อน  ส่วนลิงวงศ์ชะนี (Hylobatidae) แยกสายพันธุ์ออกจากสายพันธุ์วงศ์ลิงใหญ่ (Hominidae) รวมทั้งมนุษย์ ซึ่งเป็นวงศ์หนึ่ง ๆ ของสัตว์อันดับวานรนั้น เมื่อ 17 ล้านปีก่อนแล้วลิงวงศ์ Ponginae (ลิงอุรังอุตัง) ก็แยกออกจากสายพันธุ์เมื่อประมาณ 14 ล้านปีก่อน

จากนั้น การเดินด้วยสองเท้า (bipedalism) ซึ่งเป็นการปรับตัวพื้นฐานที่สุดของสัตว์เผ่า Hominini ซึ่งเป็นสายพันธุ์ของมนุษย์ที่ลิงชิมแปนซีได้แยกออกไปแล้ว ก็เริ่มปรากฏในสัตว์สองเท้าแรกสุดในสกุล Sahelanthropus   (7 ล้านปีก่อน) หรือ Orrorin   (6.1 ล้านปีก่อน) โดยมีสกุล Ardipithecus ซึ่งเป็นสัตว์สองเท้าที่มีหลักฐานชัดเจนกว่า ตามมาทีหลัง]  (5.8 ล้านปีก่อน) ส่วนลิงกอริลลาและลิงชิมแปนซีแยกออกจากสายพันธุ์ในช่วงเวลาใกล้ ๆ กัน คือลิงกอริลลาเมื่อ 6 ถึง 10 ล้านปีก่อน  และลิงชิมแปนซีเมื่อ 4 ถึง 8 ล้านปีก่อน  โดยอาจจะมี Sahelanthropus เป็นบรรพบุรุษสุดท้ายร่วมกันระหว่างชิมแปนซีและมนุษย์  สัตว์สองเท้ายุคเริ่มต้นเหล่านี้ในที่สุดก็วิวัฒนาการมาเป็นเผ่า hominini เผ่าย่อย Australopithecina (อังกฤษ: australopithecine ปกติรวมสกุล Australopithecus, Paranthropus, และในบางที่ Ardipithecus) ที่ 4.2 ล้านปีก่อน และหลังจากนั้นจึงเป็นเผ่าย่อย Hominina ซึ่งรวมเอามนุษย์สกุล โฮโม เท่านั้น
มนุษย์สกุลโฮโมที่มีหลักฐานยืนยันพวกแรกที่สุดเป็นสปีชีส์ Homo habilis ซึ่งเกิดขึ้นประมาณ 2.3 ล้านปีก่อน โดยเชื่อกันว่า สืบสายพันธุ์มาจาก homonin ในสกุล Australopithecus เป็นสปีชีส์แรก ๆ ที่มีหลักฐานชัดเจนว่าใช้เครื่องมือหิน และการปรับตัวของสายพันธุ์มนุษย์อีกอย่างหนึ่งคือ การขยายขนาดของสมอง(encephalization) ก็ได้เริ่มขึ้นที่มนุษย์ยุคต้นนี้ ซึ่งมีขนาดสมองที่ประมาณ 610 ซม3 คือมีขนาดใหญ่กว่าของลิงชิมแปนซีเล็กน้อย  (ระหว่าง 300-500 ซม) มีนักวิทยาศาสตร์ที่เสนอว่า นี้อยู่ในช่วงเวลาที่ยีนมนุษย์ประเภท SRGAP2 มีจำนวนเป็นสองเท่าเทียบกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ  ซึ่งทำให้เกิดการพัฒนาของสมองกลีบหน้าได้รวดเร็วกว่าในสัตว์อื่น ๆ

ต่อมา มนุษย์สปีชีส์ Homo erectus/ergaster ก็เกิดขึ้นในช่วงประมาณ 1.9 ล้านปีก่อน ที่มีปริมาตรกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของลิงชิมแปนซีคือ 850 ซม  การขยายขนาดของสมองเช่นนี้เทียบเท่ากับมีเซลล์ประสาทเพิ่มขึ้น 125,000 เซลล์ทุกชั่วยุคคน สปีชีส์นี้เชื่อว่าเป็นพวกแรก ๆ ที่สามารถควบคุมไฟ  และใช้เครื่องมือหินที่มีเทคโนโลยีที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น  เป็นมนุษย์สกุล Homo พวกแรกที่อพยพออกไปตั้งถิ่นฐานทั่วทวีปแอฟริกา ทวีปเอเชีย และทวีปยุโรป อาจเริ่มตั้งแต่ 1.8 ล้านปีก่อน  ดังนั้น การวิวัฒนาการของสายพันธุ์มนุษย์ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นไปในแอฟริกาเท่านั้น
ส่วนกลุ่มมนุษย์โบราณที่เรียกว่า Archaic Homo sapiens ก็เกิดวิวัฒนาการขึ้นต่อมาประมาณ 600,000 ปีก่อน สืบสายพันธุ์มาจาก H. erectus/ergaster เป็นกลุ่มมนุษย์ที่อาจเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบัน โดยเฉพาะคือมนุษย์โบราณ H. heidelbergensis/rhodesiensis  หลังจากนั้น มนุษย์ Homo sapiens ที่มีกายวิภาคปัจจุบัน (anatomically modern human) ก็เกิดขึ้นโดยมีวิวัฒนาการมาจากมนุษย์โบราณกลุ่ม Archaic Homo sapiens ในยุคหินเก่าช่วงกลาง คือประมาณ 200,000 ปีก่อน ตามทฤษฎีกำเนิดมนุษย์ปัจจุบันเร็ว ๆ นี้จากแอฟริกา มนุษย์ปัจจุบันมีการวิวัฒนาการในทวีปแอฟริกาแล้วได้อพยพออกจากทวีปประมาณ 50,000-100,000 ปีก่อน (ต่างหากจากมนุษย์ในยุคก่อน ๆ) ไปตั้งถิ่นฐานแทนที่กลุ่มมนุษย์สปีชีส์ H. erectus, H. denisova, H. floresiensis และ H. neanderthalensis ในที่ต่าง ๆ ที่เป็นเชื้อสายของมนุษย์ที่อพยพออกมาจากทวีปแอฟริกาในยุคก่อน ๆ โดยอาจจะมีการผสมพันธุ์กันกับมนุษย์โบราณก่อน ๆ เหล่านั้น
หลักฐานโดยดีเอ็นเอในปี ค.ศ. 2010 บอกเป็นนัยว่า มีลำดับดีเอ็นเอหลายส่วนที่มีต้นกำเนิดจากมนุษย์โบราณ Homo neanderthalensis (อังกฤษ: Neanderthal) ในดีเอ็นเอของมนุษย์ปัจจุบันทุกเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่คนแอฟริกา และว่า Neanderthal และมนุษย์โบราณสกุลอื่น ๆ เช่นที่รู้จักกันว่า Denisova hominin (อังกฤษ: Denisovan) รวม ๆ กันแล้ว อาจจะให้จีโนมเป็นส่วน 1-10% ของจีโนมมนุษย์ปัจจุบัน ซึ่งบอกเป็นนัยถึง การผสมพันธุ์กัน ระหว่างมนุษย์โบราณเหล่านี้กับมนุษย์ปัจจุบัน อย่างไรก็ดี การผสมพันธุ์มีระดับค่อนข้างที่จะต่ำ และยังมีความเป็นไปได้ว่า กรรมพันธุ์ของ Neanderthal หรือของ Archaic Homo sapiens อื่น ๆ ที่พบในมนุษย์ปัจจุบันอาจจะอธิบายได้โดยลักษณะสืบสายพันธุ์ (trait) ที่สืบมาจากบรรพบุรุษร่วมกันเมื่อ 500,000-800,000 มาแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นเพราะผสมพันธุ์กันเร็ว ๆ นี้

ส่วนการเปลี่ยนมามีพฤติกรรมปัจจุบัน พร้อมกับพัฒนาการของวัฒนธรรมสัญลักษณ์ (symbolic culture) [ภาษา และเทคโนโลยีหินแบบเฉพาะงานเริ่มขึ้นที่ประมาณ 50,000 ปีก่อนตามข้อมูลทางมานุษยวิทยา แม้ว่าจะมีนักวิทยาศาสตร์บางส่วนที่เสนอว่า ความจริงเป็นการพัฒนาทางพฤติกรรมอย่างค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานยิ่งกว่านั้นที่อาจนานถึง 300,000 ปี และเริ่มมีหลักฐานแล้วว่าพฤติกรรมปัจจุบันนั้น ความจริงมีปรากฏแล้วก่อนหน้านั้น
ในปัจจุบันนี้ วิวัฒนาการของมนุษย์ปัจจุบันก็ยังเป็นไปอยู่ แต่ที่ปรากฏเร็ว ๆ นี้ดูเหมือนจะจำกัดอยู่ในเรื่องภูมิต้านทานต่อโรคติดต่อโดยมาก  แต่เพราะไร้เหตุกดดันทางการคัดเลือกโดยธรรมชาติ หรือเพราะเหตุอื่น ๆ วิวัฒนาการของมนุษย์เร็ว ๆ นี้ โดยมากก็จะเป็นการเปลี่ยนความถี่ยีนอย่างไม่เจาะจง (genetic drift) นอกจากนั้นแล้ว ยังปรากฏอีกด้วยว่า ทั้งมนุษย์ทั้งวงศ์ลิงใหญ่แอฟริกัน (รวมกอริลลาและชิมแปนซี) ปรากฏการวิวัฒนาการที่ช้าลงจากลิงสายพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นเพราะแต่ละชั่วอายุมีความยาวนานยิ่งขึ้น



ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://th.wikipedia.org

รู้หรือไม่?
10อันดับหนังที่ทำรายได้มากที่สุดในโลก

อันดับที่ 1 Avatar ปีที่ออกฉาย – 2009
รายได้ทั่วโลก – $2,782.3 ล้านเหรีญสหรัฐ


อันดับที่ 2 Titanic ปีที่ออกฉาย – 1997
รายได้ทั่วโลก – $2,186.8 ล้านเหรีญสหรัฐ


อันดับที่ 3 Marvel’s The Avengers ปีที่ออกฉาย – 2012
รายได้ทั่วโลก – $1,518.6 ล้านเหรีญสหรัฐ


อันดับที่ 4 Harry Potter and the Deathly Hallows Part 2 ปีที่ออกฉาย – 2011
รายได้ทั่วโลก – $1,341.5 ล้านเหรีญสหรัฐ


อันดับที่ 5 Frozen ปีที่ออกฉาย – 2013
รายได้ทั่วโลก – $1,252.7 ล้านเหรีญสหรัฐ


อันดับที่ 6 Iron Man 3 ปีที่ออกฉาย – 2013
รายได้ทั่วโลก – $1,215.4 ล้านเหรีญสหรัฐ


อันดับที่ 7 Transformers: Dark of the Moon
ปีที่ออกฉาย – 2011
รายได้ทั่วโลก – $1,123.8 ล้านเหรีญสหรัฐ



อันดับที่ 8 The Lord of the Rings: The Return of the King
ปีที่ออกฉาย – 2003
รายได้ทั่วโลก – $1,119.9 ล้านเหรีญสหรัฐ




อันดับที่ 9 Skyfall
ปีที่ออกฉาย – 2012
รายได้ทั่วโลก – $1,108.6 ล้านเหรีญสหรัฐ



อันดับที่ 10 The Dark Knight Rises
ปีที่ออกฉาย – 2012
รายได้ทั่วโลก – $1,084.4 ล้านเหรีญสหรัฐ




ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.เกร็ดความรู้.net/category








วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

รู้หรือไม่?

10ของใช้ของคนรวย ที่ไม่น่าเชื่อว่ามีจริง



เพจ La Repubblica ของอิตาลีได้รายงานสกู๊ปเรื่องที่อ่านแล้วต้องตื่นตะลึง เป็นเรื่องของ 10 เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน แต่กลับราคาแพงลิบ ถึงขนาดบอกได้ว่า มีดังต่อไปนี้


1.กระดาษชำระทองคำ ประกอบด้วยทอง 22 เค มูลค่าประมาณ 1 ล้านยูโร ประมาณ 40 ล้านบาท




2.แป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ญี่ปุ่นทำจากวัสดุคุณภาพสูง ราคา 3,550 ยูโร ประมาณ 1.4 แสนบาท
 


3.เกมเศรษฐีทำจากทองคำแท้ๆราคา 161,000 ยูโร ประมาณ 6.5 ล้านบาท
 


4.ขวดน้ำคริสตัส“Tributo a Modigliani” ออกแบบบรรจุภัณฑ์ โดย “Fernando Altamirano” ซึ่งเคยออกแบบขวดคอนยัคที่แพงที่สุดในโลก ได้รับการบันทึกโดยกินเนสบุ๊กอีกครั้ง ในฐานะผู้ดีไซน์ขวดน้ำที่ราคาแพงที่สุดในโลก เงินรายได้จากการเปิดประมูลขวดน้ำนี้ ส่วนหนึ่งจะบริจาคให้กับการรณรงค์เพื่อลดปัญหาโลกร้อน
 สำหรับขวดน้ำนี้ ภายในบรรจุน้ำแร่จากฝรั่งเศส ฟิจิ และน้ำจากธารน้ำแข็งในไอซ์แลนด์ รวมถึงมีผงทอง 23 เค ปริมาณ 5 ม.ก. บรรจุอยู่ภายในด้วย ราคา 48,000 ยูโร เกือบๆ 2 ล้านบาท
 



5.ร่มจากหนังจระเข้สร้างสรรค์โดยแบรนด์ Billionaire Couture มูลค่า 40,000 ยูโร ประมาณ 1.6 ล้านบาท





6.Butterfly คือชื่อของจักรยานที่ “แลนซ์ อาร์มสตรอง” นักแข่งจักรยานชาวอเมริกัน เจ้าของแชมป์การแข่งขันตูร์ เดอ ฟรองซ์ ติดต่อกัน 7 สมัย เคยใช้ในการแข่งขันเมื่อปี 2009 และได้รับการตกแต่งโดย Damien Hirst ศิลปินร่วมสมัย ซึ่งใช้ปีกผีเสื้อจริงๆ ในการตกแต่ง ราคา 400,000 ยูโร หรือ 16 ล้านบาท




7.ที่กั้นประตูจากซีเมนต์หนัก12 ก.ก. มูลค่า 2,800 ยูโร ประมาณ 1.1 แสนบาท ซีเมนต์นี้เคยล้อมรอบเหยือกน้ำของ “ราชวงศ์ซาวอย” ก่อนที่จะถูกทำลายลงเพื่อให้เปิดบานประตูเปิด-ปิดได้อิสระ




8.ถุงเท้าจากขน“วิคูญา”สัตว์ประจำชาติของเปรู ลักษณะคล้ายตัวลามา ว่ากันว่า วิคูญาเป็นสัตว์ที่มีเส้นขนละเอียดที่สุดในบรรดาขนสัตว์ทั้งหมด และกักเก็บความอุ่นได้ดีเยี่ยม ราคาประมาณ 1,000 ยูโร หรือ 4 หมื่นบาท
 



9.เซ็ตถ้วยบะหมี่ทองคำมาพร้อมผ้าเช็ดปากและส้อม ราคา 40,000 ยูโร ประมาณ 1.6 ล้านบาท
 

 



10.ปากกาAurora Diamante ตกแต่งด้วยทอง 18 เค และเพชรเดอเบียรส์ 30 กะรัต มูลค่าด้ามละ 1 ล้านยูโร กว่า 40 ล้านบาท
 










 


วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

คุณรู้หรือไม่?
10ประเทศที่รวยที่สุดในโลก

 สำหรับประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 10 อันดับแรก จัดอันดับตาม GDP (PPP) ที่มีรายได้ต่อตัวสูงสุดต่อหัว 4,600,000 บาทต่อปี
อันดับ 1 : Qatar – GDP (PPP) 4,621,648.32 THB/Y
          กาตาร์เป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เศรษฐกิจของกาตาร์ส่วนใหญ่เกือบ 85% ของรายได้จากการส่งออกเป็น “ปิโตรเลียม” กาตาร์ยังเป็นประเทศที่มีปริมาณแก๊สธรรมชาติ สำรองมากเป็นอันดับ 3 ของโลก รัฐบาลของกาตาร์ทุ่มงบส่วนใหญ่ในการพัฒนาสาธารณูปโภค เช่น ท่าเรือน้ำลึก สนามบิน เครือข่ายรถไฟ รวมถึงตั้งเป้าให้ประเทศเจ้าภาพด้านธุรกิจ และที่สำคัญในปี ค.ศ.2022 กาตาร์จะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลโลก


อันดับ 2 : Luxembourg – GDP (PPP) 2,960,212.16 THB/Y
          เป็นประเทศเล็กๆในยุโรป มีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายเหล็กและโลหะเพื่อส่งออก ลักเซมเบิร์กขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุด และเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของยุโรป เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายทางการเงินที่มีวินัยและเข้มแข็ง และส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ความเข้มงวดของการเก็บความลับในด้านธุรกิจสถาบันการเงินหรือธนาคาร



อันดับ 3 : Singapore – GDP (PPP) 2,603,061.44 THB/Y
          สิงคโปร์เป็นประเทศเล็กๆทางตะวันออกเฉียงใต้ของเอเชีย เป็นประเทศที่มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี  ด้วยความที่เป็นประเทศที่เล็ก ทำให้บริหารงานต่างๆได้ไม่ยากนัก บวกกับความเข้มงวดของกฎหมาย ทำให้เป็นประเทศที่ประชากรมีระเบียบวินัยสูง พื้นฐานความมั่งคั่งของสิงคโปร์ คือ ความเจริญด้านเทคโนโลยี การผลิต และศูนย์กลางด้านการเงิน



อันดับ 4 : Brunei Darussalam – GDP (PPP) 2,490,366.4 THB/Y
          บรูไนเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำรายได้มาสู่ประเทศเป็นอันดับหนึ่ง ในขณะที่มีจำนวนประชากรที่น้อยมาก แต่บรูไนก็ไม่ได้หวังพึ่งพารายได้จากการขายน้ำมันเพียงอย่างเดียว ได้พยายามที่จะพัฒนาประเทศให้พึ่งพาตัวเองได้ อย่างไรก็ตามบรูไนเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพสูงมากแห่งหนึ่งของโลก แต่รัฐบาลได้ให้สวัสดิการอย่างดีเลิศแก่ประชาชน อาทิ ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ค่ารักษาพยาบาลฟรี



อันดับ 5 : Kuwiat  – GDP (PPP) 2,271,736.96 THB/Y
           คูเวตเป็นประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีมากและร่ำรวยจากการส่งออกน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ ส่งผลให้มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ ทั้งในด้านการค้าและการลงทุน ประชาชนคูเวตมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวและกำลังซื้อสูงมาก ประกอบกับการใช้นโยบายการค้าเสรี ไม่มีระบบโควตา หรือมาตรการกีดกันการนำเข้าสินค้า โครงสร้างภาคการผลิตส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมผลิตน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี รัฐบาลคูเวตได้ประกาศจัดทำโครงการ ลงทุนขนาดใหญ่ เพื่อพัฒนาภาคอุตสาหกรรมน้ำมันเพื่อเพิ่มผลผลิต การก่อสร้างเมืองธุรกิจใหม่ (Silk City) โครงการขยายท่าอากาศยานนานาชาติคูเวต




อันดับ 6 : Norway – GDP (PPP) 2,108,661.44 THB/Y
          นอร์เวย์ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ติดอันดับประเทศที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดของโลก เนื่องจากนโยบายรัฐสวัสดิการสามารถใช้ได้จริง และตอบโจทย์ความต้องการทางสังคมของนอร์เวย์ ได้เป็นอย่างดี เป็นประเทศที่มี อัตราการว่างง่านที่ต่ำ รายได้หลักเกือบครึ่งมาจากการส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ



อันดับ 7 : United Arab Emirates – GDP (PPP) 2,081,197.12 THB/Y
          เป็นประเทศที่เกิดจากการรวมตัวของรัฐต่าง ๆ 7 รัฐ ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2514 จึงนับว่ามีอายุเพียง 40 ปีเศษ แต่ในระยะเวลาเพียงไม่นาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้พัฒนาความเจริญก้าวหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โดยส่วนสำคัญมาจากรายได้มหาศาลจากการส่งออกน้ำมันดิบ ควบคู่ไปกับการเป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาค ยังไม่รวมถึงการเงินและการขนส่งทางอากาศ ซึ่งนับวันจะทวีความสำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ขึ้นเรื่อย ๆ



อันดับ 8 : Switzerland – GDP (PPP) 1,767,594.88 THB/Y
          เป็นประเทศขนาดเล็กที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล และตั้งอยู่ในทวีปยุโรปตะวันตก แต่นับเป็นประเทศที่มีความสำคัญ ในด้านการลงทุนในระดับนานาชาติมาเป็นระยะเวลานาน เป็นประเทศหนึ่งในโลกที่มีสถานะทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและเป็นเป้าหมายของนักลงทุน เนื่องจากมีนโยบายทางการเงินและสถานการณ์ทางการเมืองที่มีเสถียรภาพ และมีความพร้อมทางโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้นรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ยังมีนโยบายเปิดกว้างสำหรับการลงทุน


อันดับ 9 : Hong Kong – GDP (PPP) 1,765,337.92 THB/Y
          ฮ่องกงมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลกในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ปัจจุบัน ฮ่องกงเป็นท่าเรือขนส่งสินค้า ที่มีปริมาณการขนส่งเป็นอันดับ 2 ของโลก รวมทั้งเป็นตลาดหลักทรัพย์ทีมีมูลค่าการซื้อขายมากเป็นอันดับ 2 ในเอเชีย ภาคบริการเป็นหัวใจของความมั่งคั่งของฮ่องกงเนื่องจากมีสัดส่วนถึงร้อยละ 90 ของ GDP ธุรกิจบริการหลักประกอบด้วย การค้า การขนส่ง การเงินการธนาคารและการท่องเที่ยว


อันดับ 10 : United States – GDP (PPP) 1,749,701.44 THB/Y
          ประเทศมหาอำนาจและมีเศรษฐกิจประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำโลกทั้งในด้านการเงิน ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  เป็นผู้ผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นผู้ส่งออกอาวุธที่ใหญ่ที่สุด สหรัฐอเมริกาเป็นผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าและนิวเคลียร์อันดับ 1 ของโลก และเป็นผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3